ข่าวสารและบทความ

ประกันรถยนต์ : สถานที่ท่องเที่ยวสุดแปลกในไทยมีที่ไหนน่าไปบ้าง

ประกันรถยนต์ : สถานที่ท่องเที่ยวสุดแปลกในไทยมีที่ไหนน่าไปบ้าง

 

ช่วงส่งท้ายปลายปีก่อนวันหยุดยาว มักเป็นเวลาที่หลายคนมองหาสถานที่ท่องเที่ยวไปพักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุดยาวทั้งในและต่างประเทศ นอกจากจะได้ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานหนักมาตลอดทั้งปีแล้ว ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้สัมผัส แต่จะยิ่งพิเศษมากขึ้นหากได้ไปเช็กอินในสถานที่ท่องเที่ยวสุดแปลกที่ใครๆ ก็ไม่เคยเห็น หรือรู้ว่ามีอยู่จริงในประเทศไทย สถานที่ท่องเที่ยวสุดแปลกในไทยจะมีที่ไหนน่าขับรถไปเที่ยวบ้าง สินมั่นคง ประกันรถยนต์ มีข้อมูลมาเล่าให้ฟังค่ะ

 

    1. ทะเลสีมรกตบนยอดดอย หล่มภูเขียว จังหวัดลำปาง

จังหวัดลำปางสถานที่ท่องเที่ยวสวยตาแปลกซ่อนอยู่หนึ่งแห่ง คือ “หล่มภูเขียว” แอ่งน้ำทางธรรมชาติขนาดใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบผา มีเนื้อที่กว้างประมาณ 1-2 ไร่ จุดเด่นของที่นี่คือความลึกที่ไม่สามารถระบุได้ ทำให้ผืนน้ำกว้างใหญ่กลายเป็นทะเลสีมรกตที่ผุดขึ้นมาบนยอดดอย นอกจากความงามแล้วยังเชื่อกันว่า “หล่มภูเขียว” เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านนิยมนำน้ำจากที่นี่มาใช้ดื่มกินและอธิษฐานขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บและเนื่องจากเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของผู้คนที่นี่ การเข้ามาเที่ยวยัง “หล่มภูเขียว” จึงมีข้อปฏิบัติที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอีกด้วย

 

 

    2. หาดทรายดำ จังหวัดตราด

ทะเลสุดแปลกที่มีหาดทรายเป็นสีดำ นั่นคือ “หาดทรายดำ จังหวัดตราด” สาเหตุที่หาดทรายเป็นสีดำเนื่องจากการยุบสลายตัวของเศษเหมืองและเปลือกหอยผสมด้วยหินควอตซ์ ทำให้พื้นที่โดยรอบระยะทางกว่า 2 กม. กลายเป็นสีดำ และเป็นความแปลกที่มีอยู่แค่ 5 แห่งทั่วโลกเท่านั้น การมาชมความงามของหาดทรายแบบสุดสายตา แนะนำมาช่วงน้ำลงจะได้สัมผัสกับหาดทรายดำแบบใกล้ชิดและจะได้เห็นความสวยงามของหาดทรายดำที่แท้จริง นอกจากนี้บริเวณพื้นที่แห่งนี้ยังเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติของป่าชายเลนและหากต้องการล่องเรือชมหิ่งห้อยก็มีบริการเพิ่มเติม แต่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า

 


    3. เมืองใต้พิภพ โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา นครราชสีมา 

เมืองใต้พิภพ โรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนา นครราชสีมา อยู่ลึกไปใต้ผิวดินกว่า 350 เมตร เพราะโรงไฟฟ้าลำตะคองชลภาวัฒนาเป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับที่ตั้งอยู่ใต้พื้นดินแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย สวยแปลกตากับอุโมงค์โรงไฟฟ้าใต้ดิน จุดเช็กอินที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน 

 

 

 

   4. ต้นไม้โดดเดี่ยวกลางทะเล ณ เกาะนกนอก จังหวัดตราด 

ต้นไม้ 1 ต้นที่ขึ้นอยู่บนเกาะเล็ก ๆ กลางทะเลจังหวัดตราด เป็นจุดชมวิวที่ดูแปลกตา และเป็นต้นไม้ที่อยู่มานานกว่าสิบปี ท่ามกลางสภาวะน้ำขึ้นน้ำลงของน้ำทะเลบนเกาะนกนอก ซึ่งเชื่อมมาจากเกาะนกใน และเกาะกระดาด เกาะนี้จะมีจังหวะที่โผล่พ้นน้ำในช่วงน้ำลด ซึ่งจะเห็นพื้นที่เกาะเล็กน้อยมากๆแค่เดิน 10 ก้าว และมีต้นไม้ (ต้นตะบัน) ขึ้นอยู่เพียงต้นเดียว

 


    5. อุโบสถทำด้วย “หินเขี้ยวหนุมาน” วัดสิริจันทรนิมิตรวรวิหาร ลพบุรี 

อุโบสถที่ทำขึ้นจาก “หิน” ที่วัดเขาพระงามหรือวัดสิริจันทรนิมิตรวรวิหาร จ.ลพบุรี มีอุโบสถหลังใหญ่ทำด้วย "หินเขี้ยวหนุมาน" ทั้งหลัง ซึ่ง “หินเขี้ยวหนุมาน” จัดเป็นรัตนชาติที่มีพลังอานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์และอิทธิฤทธิ์อยู่ในตัวเอง เป็นหินแห่งโชคลาภ เมตตามหานิยมและช่วยคุ้มครองป้องกันภยันตรายต่าง ๆ จัดเป็นหินตระกูลเดียวกันกับเพชร แต่มีความแข็งน้อยกว่า เชื่อกันว่าถ้าทิ้งไว้ตามสภาพเดิมนานต่อไปอีกประมาณ 1,000 ปี จะกลายเป็นเพชรจริง ๆ แต่จะไม่สามารถมองเห็นความแวววาวและการเปล่งแสงงดงามของหินหนุมานนี้ได้ เนื่องจากทางวัดจำเป็นต้องทาสีทับเพื่อป้องกันผู้มาลักลอบขโมยหิน และการทาสีทับนี่เองทำให้อุโบสถแห่งนี้อยู่มายาวนานจนถึงปัจจุบัน

 

 

   6. หินผาศักดิ์สิทธิ์รูปร่างแปลกตาคู่ผืนป่าปัตตานี ผาพญางู ปัตตานี

“ผาพญางู” ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลามายาวนานของ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เกิดเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ในอุทยานแห่งชาติน้ำตกทรายขาว มีความสูงประมาณตึก 4 ชั้น มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับ "หัวงูขนาดยักษ์" ที่งอกพ้นแผ่นผาออกมาอย่างโดดเด่น แม้ว่าหินยักษ์นี้จะมีรูปร่างคล้ายกับพญาอสรพิษหากแต่ชาวบ้านละแวกนั้นมีความเชื่อกันว่านี่คือพญางูใจดี ที่จะคอยปกป้องคุ้มครองบรรดาชาวบ้านและนักท่องเที่ยวให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง ทำให้ผู้คนที่แวะเวียนมาเยือนน้ำตกทรายขาวต้องหาโอกาสมาสักการะ “ผาพญางู” แห่งนี้ ทำให้ที่นี่กลายเป็น Landmark สำคัญและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ล้ำค่าคู่ผืนป่าปัตตานีมาจนถึงปัจจุบัน

 

    7. หินสามวาฬ จังหวัดบึงกาฬ

หนึ่งในจุดสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของภูสิงห์ จังหวัดบึงกาฬ ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าดงดิบกะลา ป่าภูสิงห์ และป่าดงสีชมพู ในพื้นที่ของภูสิงห์เต็มไปด้วยกลุ่มของก้อนหินรูปทรงต่าง ๆ หน้าผา และถ้ำ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ เกิดเป็นความสวยงามที่ชวนให้สะกดสายตานักท่องเที่ยวทั่วไป รวมถึงหินสามวาฬ ที่มีลักษณะเป็นหินขนาดใหญ่ติดหน้าผาสูง แยกตัวเป็น 3 ก้อน มีอายุประมาณ 75 ล้านปี ความพิเศษของหินสามวาฬอยู่ตรงที่ เมื่อมองดูจากระยะไกล หินสามก้อนนี้จะดูคล้ายกับฝูงครอบครัววาฬ ที่ประกอบด้วยพ่อวาฬ แม่วาฬ และลูกวาฬ ซึ่งเรียกตามขนาดของหินแต่ละก้อน